
สหภาพยุโรปออกกฎหมาย EU Deforestation Regulation (EUDR) ที่จะบังคับใช้ในวันที่ 30 ธ.ค.68 สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ และ วันที่ 30 มิ.ย.69 สำหรับ SMEs
เพื่อจำกัดการทำลายป่าที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก
โดยห้ามนำเข้าสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับการบุกรุกพื้นที่และทำลายป่า เข้าสู่สหภาพยุโรป รวมถึงสินค้าที่ส่งออกด้วย
โดยกำหนดให้สินค้า 7 ชนิด ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง ไม้ โกโก้ กาแฟ ปศุสัตว์ และยางพารา และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ที่ส่งออกเข้า EU ต้องไม่ได้มาจากพื้นที่ ที่ทำลายป่าหลังปี 2020 โดยหากไม่ปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด สินค้านั้นอาจหมดสิทธิ์เข้าสู่ยุโรปทันที
ล่าสุด EU ก็ประกาศให้ไทยอยู่ในกลุ่ม “Low Risk” หรือความเสี่ยงต่ำ ตามเกณฑ์ EUDR หมายความว่า สินค้าเหล่านี้จะถูกส่งไปยุโรปได้สะดวกขึ้น สะท้อนถึงความตื่นตัว และการเตรียมความพร้อมของกระทรวงเกษตรฯ โดยเฉพาะในด้านการตรวจสอบย้อนหลัง และการจัดทำเอกสาร
ซึ่งการเก็บข้อมูลต้องระบุตั้งแต่ตำแหน่ง และขอบเขตแปลงเพาะปลูก วิเคราะห์ผ่านภาพดาวเทียมเพื่อตรวจสอบว่าตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าหรือไม่ รวมถึงการลงทะเบียนแปลงเกษตร และผลิตภัณฑ์ในฐานข้อมูล พร้อมระบุข้อมูลการผลิตเพื่อให้ตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาและประสานกับหลายหน่วยงาน
จะดีแค่ไหน หากมีผู้ช่วยที่คอยจัดการให้แบบครบวงจร?
ที่จริงตอนนี้ก็มีบริษัทในไทยก็มีพัฒนาระบบเหล่านี้แล้ว อย่าง บริษัท อะกรินโน่ เทค แอนด์เซอร์วิสเซส จำกัด ที่มองเห็นความสำคัญของการทำเกษตร รวมถึงต้องการยกระดับศักยภาพการเกษตรไทยให้ดีและมีคุณภาพมากขึ้น
โดยมีการพัฒนาโซลูชันที่ช่วยจัดการให้ทุกขั้นตอน ทั้งระบบ Crop analysis ที่ใช้วิเคราะห์พื้นที่เพาะปลูกจากภาพถ่ายดาวเทียม ระบบ Farm Management สำหรับวางแผน และเก็บข้อมูลการผลิตอย่างเป็นระบบ ทำให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน และแม่นยำ
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐกิจ - การลงทุน
มาตรการจำกัดชิปสหรัฐฯ = สงครามเย็น “เทคโนโลยี” ?


เศรษฐกิจ - การลงทุน
เมินกัมพูชาก่อน ! จับตาเจรจาภาษีสหรัฐฯ “ไทยได้คิวคุยแล้ว”


เศรษฐกิจ - การลงทุน
สรุปบทเรียนตลาดแรงงานดิจิทัล “ลดคน เพิ่ม AI” คุ้มค่าในระยะยาว?


เศรษฐกิจ - การลงทุน
แอร์บัสปักหมุดลงทุนในไทย หนุน “การบิน-เทคโนโลยี” ของภูมิภาคประเทศ
