งานเข้า Amazon โดนตีตราเป็นศูนย์ข้อมูลกลั่นน้ำพิษ

ธุรกิจไอที

งานเข้า Amazon โดนตีตราเป็นศูนย์ข้อมูลกลั่นน้ำพิษ

Clock Icon

8 ธันวาคม 2568

แชร์ :

‘Amazon กำลังเร่งให้เกิดการปนเปื้อนของ “ไนเตรต” ในน้ำดื่มสูงขึ้น’

นี่คือเสียงจากผู้เชี่ยวชาญ และรายงานการเปิดโปงของเว็บไซต์ Rolling Stone ซึ่งออกมาให้ข้อมูลว่า การดำเนินงานศูนย์ข้อมูลของ Amazon เขตมอร์โรว์ รัฐโอเรกอน ในสหรัฐอเมริกา อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการปนเปื้อนของ “ไนเตรต” ในน้ำดื่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ นำไปสู่ความเสี่ยงด้านสุขภาพร้ายแรงได้ ทั้งโรคมะเร็งและการแท้งบุตร ของคนในพื้นที่ จาการเชื่อมโยงกับสถิติการเกิดโรคมะเร็งหายาก และอัตราการแท้งบุตรที่สูงขึ้นในพื้นที่ ซึ่งสถานการณ์นี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับวิกฤตน้ำปนเปื้อนที่เมืองฟลินท์ รัฐมิชิแกน อีกด้วย

โดยช่วงหลังพื้นที่นี้กลายเป็นที่ตั้งของ Data Center จำนวนมาก เมื่อ Amazon รู้เรื่องนี้ ก็ส่ง Lisa Levandowski หรือโฆษกของบริษัทชี้แจงด่วนว่า รายงานเหล่านี้ “ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ถูกต้อง” และที่จริงมีเอกสารยืนยันว่าปัญหาน้ำใต้ดินปนเปื้อนไนเตรตของพื้นที่นี้มีมานานก่อนที่จะมาตั้ง Data Center แล้ว

ย้ำหนักว่าปริมาณน้ำที่ศูนย์ข้อมูลใช้และปล่อยกลับไป เป็นเพียงสัดส่วนเล็กมากของระบบน้ำทั้งหมด มันไม่ได้มากพอจะมีผลต่อคุณภาพน้ำ

ฟังแบบนี้ก็ดูมีเหตุผล หรือที่จริงการทำงานของศูนย์ข้อมูลส่งผลกระทบทางอ้อมแทน?

แน่นอนว่าสิ่งที่ Amazon แก้ต่างมามันต้องมีเหตุจริง เพราะเมื่อรื้อข้อมูลดูดี ๆ ก็พบว่า พื้นที่ Morrow County มีปัญหาเรื่องน้ำบาดาลปนเปื้อนไนเตรตจากปุ๋ยและมูลสัตว์มานานแล้ว เพราะเดิมทีเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งเกษตรกรรม และโรงงานแปรรูปอาหารขนาดใหญ่ เลยทำให้มีทั้งฟาร์มใหญ่ๆ กับโรงงานแปรรูปอาหารอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก

แต่จะปัดตกเรื่องการมาของ ศูนย์ข้อมูลของ Amazon คงจะไม่ได้ เพราะการทำงานมันก็ต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาลมาหล่อเย็นหรือไม่ ซึ่งต้องใช้น้ำหลายสิบล้านแกลลอนต่อปีมาหล่อเย็นเซิร์ฟเวอร์ พอน้ำรับความร้อน น้ำบางส่วนจะระเหยออกไป แปลว่าไนเตรตในน้ำที่เหลือจะเข้มข้นขึ้น ทีนี้พอน้ำที่ปนเปื้อนถูกปล่อยเข้าสู่ระบบบำบัด น้ำก็จะซึมกลับลงสู่แหล่งน้ำใต้ดินได้เร็วกว่าเดิมจากการที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทราย

เลยเป็นข้อตั้งสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญว่า กระบวนการนี้ของศูนย์ข้อมูลอาจทำให้ระดับไนเตรตในบางบ่อพุ่งสูงถึง 73 ppm ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของรัฐที่ 7 ppm และมาตรฐานรัฐบาลกลางที่ 10 ppm กว่าหลายเท่า

ทั้งหมดนี้กลายเป็นความกังวลด้านสุขภาพของคนในพื้นที่ แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะต้องใช้น้ำอุปโภคบริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้ และมีเพียงหน่วยงานรัฐเท่านั้นที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้

แปลว่าสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ รัฐอาจต้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อคนในพื้นที่ได้มากที่สุด ส่วนด้านภาคธุรกิจเองก็ควรมีแผนด้านสิ่งแวดล้อมรองรับเพิ่มมากขึ้น จากการเก็บข้อมูลผลกระทบต่อพื้นที่ตั้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อร่วมหาทางออกกับหน่วยงานภาครัฐ สำหรับการปรับตัวพร้อม ๆ กับคนในชุมชนต่อไป

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยี ที่จะพัฒนาและยกระดับประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้ที่ Tech Movement

แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง