
เรายุคที่ทุกคนอยู่บนโลกออนไลน์ มีอาชีพมากมายที่เกิดขึ้น 1 ในนั้นคือ “การไลฟ์สด” เพื่อแลกของขวัญดิจิทัล ที่ก็ทำรายได้ให้กับครีเอเตอร์ไม่น้อย
เมื่อการไลฟ์สดแลกของขวัญ กลายเป็นกระแสการสร้างรายได้ในโลกยุคใหม่ ที่มอบความบันเทิงให้กับผู้ชมผ่านรูปแบบต่างๆ อาทิ การเป็น NPC ที่ให้ผู้ชมส่งของขวัญตามโจทย์ การเปิดไพ่ดูดวงผ่านหน้าไลฟ์ การแข่งเต้น และอีกมากมาย ซึ่งโดยมากผู้ชมก็เลือกเปย์ ตามความชอบของแต่ละบุคคล
เมื่อแพลตฟอร์มเล่นกับ emotion
การที่เราส่งของขวัญให้ใครสักคน ก็เป็นเพราะ “ถูกใจ” บางเรื่อง เช่น ร้องเพลงเพราะ พูดสนุก มีแมวน่ารัก เป็นต้น แต่นอกเหนือจากคอนเทนต์ฮีลใจในความบันเทิงเหล่านี้ ก็มีคอนเทนต์ที่เรียกความสงสารผู้ชมอยู่ไม่น้อย เช่น การไลฟ์สดโดยมีผู้ป่วยติดเตียง การร้องเพลงขอบริจาค การขอค่านมลูก ซึ่งเมื่อดูผิวเผิน คนไทยก็คงมีคนเต็มใจช่วย แต่คุ้นๆไหมว่า รูปแบบนี้มีอยู่ตลอด แต่เปลี่ยน “พื้นที่” มากกว่า
และคนกลุมนี้มักหากินกับใจคน ซึ่งหากพูดถึงวัฒนธรรมไทย เราคงทราบกันดีว่า คนไทยมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และพร้อมจะช่วยเหลือเท่าที่เราจะช่วยได้ ซึ่งก็เป็นช่องโหว่ให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ใช้เพื่อหลอกเงินไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอรับบริจาค ฯลฯ
แต่ไม่ใช่แค่ไทยเพราะ ต่างประเทศก็มี
อย่างที่ต่างประเทศ ก็มีเคสในลักษณะเดียวกัน ที่เรียกว่า “Live Beggars” คือการใช้เด็กไลฟ์ เพื่อบอกเล่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่สงคราม หรือขอรับบริจาค ซึ่ง Tiktok มีนโยบายห้ามการ “ขอรับเงินในทางที่เอารัดเอาเปรียบ” โดยเฉพาะการใช้เด็กเข้ามาเพื่อเรียกเงิน แต่หลายไลฟ์สดที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวกลับได้รับการโปรโมตจากอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม และแพลตฟอร์มเองก็เก็บค่าคอมมิชชั่นจากของขวัญสูงถึง 70% ของมูลค่าของขวัญนั้น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แสดงพฤติกรรมที่น่าสงสารหรือเสี่ยง ทำท่าตลก หรือต้องแสดงพฤติกรรมที่น่าอับอาย เพื่อดึงดูดการให้ของขวัญดิจิทัลจากผู้ชม
ตัวต้นเรื่อง ที่ย้อนแย้ง
แม้ว่า TikTok จะมีนโยบายในการสร้าง Community และสร้างรายได้ให้กับคนในคอมมูฯ ของเขา แต่กลับปล่อยปะละเลย เพราะอาจตรวจสอบไม่ทั่วถึง หรือปิดตาข้างหนึ่งเพราะการไลฟ์เหล่านี้ เป็นรายได้มหาศาลที่ไม่อยากให้หายไป
ถ้าทุกคนไลฟ์แลกของขวัญกันหมด ประเทศจะเดินไปต่อยังไง?
มองในมิติเชิงบวก ก็จะเกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ใช้ทักษะด้านคอนเทนต์ การเล่าเรื่อง และความคิดสร้างสรรค์เป็นรายได้ แต่ผลด้านลบอาจมากกว่านั้น เพราะรายได้จากแพลตฟอร์มอาจไม่ยั่งยืน ชีวิตเริ่มขึ้นอยู่กับอัลกอลิทึมและเทรนด์ คนจำนวนมากจึงหลุดออกจากระบบแรงงานจริง
ส่งผลให้ฐานภาษีของประเทศหดตัว เศรษฐกิจขาด Productivity เพราะหันไปทำคอนเทนต์ที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจจริง กลายเป็นประเทศอาจขาด Human Capital ด้านนวัตกรรม ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมอนาคต เช่น AI, Robotics, Energy, Semiconductor ซึ่งก็จะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันระยะยาวที่ทำให้ลดลง เพราะ GDP ไม่เกิดจากการผลิตจริง แต่เกิดจากการแลกเปลี่ยนมูลค่าผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศ
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง


